วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

"ขอบคุณที่ทิ้งกัน"สาวบ้านๆชีวิตเปลี่ยนไปเมื่อโดนผัวทิ้ง กลายเป็นสาวสวย

 กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันในโลกออนไลน์ กระทู้พันทิป เรื่อง "ขอบคุณที่ทิ้งกัน : ชีวิตเปลี่ยนไปเมื่อโดนผัวทิ้ง [เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย]" กำลังฮอตมากๆ แชร์กันกระหึ่มทั้งเมือง เป็นเรื่องราวของนักธุรกิจสาวชื่อ“อ้ำ”ที่เปลี่ยนชีวิตตัวเอง เปลี่ยนลุค จากผู้หญิงบ้านๆ อ้วนดำ กลายเป็นสาวสวย


 โดยเจ้าของกระทู้ระบุว่า 

 เคยโดนทิ้งมั๊ยคะ?ยังจำความรู้สึกวันนั้นได้หรือไม่? มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก เหมือนเราไม่อะไรดี ไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมายอะไรเหลืออีกแล้ว ในโลกนี้ ไม่น่าจะมีสิ่งใดที่ทำให้ตัวเรารู้สึกไร้ค่า ไร้ความหมาย ได้เท่ากับการโดนคนที่เรารักทอดทิ้งไป

 การโดนทิ้งทำให้ชีวิตหลายคนพังบ้างก็เป็นรอยด่าง เป็นความทรงจำที่ไม่ดีชีวิต  แต่สำหรับหลายๆคน รวมถึงตัวดิฉัน การถูกทิ้งในวันนั้น คือ จุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผู้หญิงคนนึง ได้กลับมาค้นพบคุณค่าในตัวเราเอง และความสุขที่แท้จริง

 ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อน ดิฉันชื่อเล่นว่า “อ้ำ” ปัจจุบันเป็นเจ้าของบริษัทเอเจนซี่โฆษณาแห่งหนึ่ง ที่ผ่านมาบริษัทเราที่ผ่านเราทำงานที่เรียกว่า “พีอาร์” ให้กับคนอื่นมากมาย รวมถึงทำเรื่อง “ภาพลักษณ์” ให้คนอื่นมาเยอะมาก ทำให้กับธุรกิจเล็กๆ ขนาดกลาง นักธุรกิจดังๆ เราแนะนำเขาได้หมดว่าจะต้องปรับปรุงภาพลักษณ์อย่างไร ใช้สื่ออย่างไรที่ทำให้ภาพที่สื่อออกมาดูดี แต่ที่ตลกมากๆ คือ อ้ำแทบไม่เคยดูแลเรื่องภาพลักษณ์ของตัวเองเลย นี่คือรูปอ้ำสมัยก่อน....

 เราเป็นคนต่างจังหวัด มีพื้นเพเป็นเด็ก ปราจีนบุรี พ่อเป็นทหาร ชีวิตวัยเด็กเติบโตและอยู่ในค่ายทหารมาร่วม 20 ปี ฉะนั้นเรื่องความห้าวก็เต็มที่ ส่วนความสวยความงามแบบผู้หญิงก็ลืมไปได้เลย และด้วยความที่เป็นลูกทหารชั้นผู้น้อย พ่อก็จะสอนเสมอให้เราเจียมเนื้อเจียมตัว สมัยเด็กเรามีเพื่อนเป็นลูกนายร้อย นายพันที่เขาย้ายมา คบได้ แต่ห้ามตีตัวเสมอ (พ่อเค้าเคร่งครัดเรื่องแบบนี้) ที่บ้านต่างจังหวัด ย่าเรา เลี้ยงแบบเข้มงวด ให้เราเป็นคนเจียมตัว อย่าทะเยอทะยาน ให้เสียสละให้น้องสาวเพราะเราเป็นพี่ เราเลยกลายเป็นผู้หญิงที่โตมาเป็นผู้หญิงที่ ชอบทำงาน อดทนอดกลั้น เจียมตัว ไม่รักสวยรักงาม คือเป็นคนที่มีลักษณะห้าวๆลุยๆ แต่จะไม่แข็งขืนกับใคร

 เราเป็นคนที่ไม่ค่อยมีโชคกับเรื่องรักเท่าไหร่นักแม้ว่าจะเป็นคนรักใครรัก จริงและคบนาน แต่สุดท้ายด้วยความที่เราเป็นคนถึก บ้างาน และที่สำคัญไม่เป็นเรื่องการแต่งตัวเลย ความรักก็จืดจาง เพราะเราไม่มีความหวาน เดาว่าเราไม่มีเสน่ห์แบบที่ผู้ชายไทยชอบนัก อยากได้อะไรกมันกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้ผู้ชายที่มาคบกับเรารู้สึกว่าเขา ไม่ต้อง active อะไรก็ได้ เพราะเราดูแลตัวเองได้หมดแล้ว แต่จริงแล้วไม่ใช่เลย ลึกๆอ้ำว่าผู้หญิงทุกคนก็อยากได้ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัว มีความเป็นผู้นำ แม้ว่าเราจะทำงาน เลี้ยงตัวเองได้ แต่เราก็หวังให้คนที่จะมาเป้นคู่ชีวิตเรานั้น มีความรับผิดชอบ เติบโตก้าวหน้า และคิดถึงอนาคตของครอบครัว ของเรา และของลูก

 แต่ประสบการณ์ส่วนตัวอ้ำไม่เคยเจอแบบนั้นเลย อ้ำเคยคบผู้ชายไทย 2 คน คนแรกเป็นแฟนกันที่คบตอนอยู่ต่างจังหวัดตั้งแต่สมัยเรียน ปวช. เขาเป็นคนที่ดี รักเรามาก(ในแบบของเค้า) เราคบมาเรื่อยๆถึง 7-8 ปี ชีวิตไม่ไปไหน ไม่เห็นแววว่าเขาจะทำอะไร หรือจะเป็นหลักเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ แต่ประเด็นที่คิดย้อนไปแล้วน้ำตาจะไหลคือ เขาเป็นคนขี้หึงมาก (สมัยนั้นเราดีใจว่าเค้าคงรักเรามากๆ) เชื่อไหมว่า เค้าเคยขังเราไว้ในบ้านแล้วออกไปทำงาน ล็อคกลอนจากข้างนอก เราก็โง่เพราะแฟนบอกว่าหวงเลยรักมากไปไม่อยากให้ไปไหน ตอนนั้นทะเลาะกันเพราะเพื่อนในค่ายทหารมาคุยด้วยเฉยๆ แค่นั้นแหละแฟนจับล็อคไว้ แต่ไม่หนักเท่าครั้งหนึ่งที่ทะเลาะกันแล้วเค้าเอาเราขังไว้ในห้องเก็บของใต้ บันได พอเราออกมาได้ เค้าก็เตะเราลงไปนอนกับพื้น แล้วยิ้มน้ำลายใส่หน้า เพื่อนๆเชื่อไหม ว่าตอนนั้นเราทนได้และรู้สึกว่าเราเป็นคนผิดเอง เพราะเค้าพูดจนเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้เลย เราเก็บมาตลอด เหมือนเป็นจุดดำมืดในชีวิต แต่ไหนๆอ้ำก็คิดจะเล่าแล้วก็ขอแชร์ให้หมดเลยละกัน ถ้ามีส่วนไหนดาร์กไปก็อย่าถือสาเลยนะ อ้ำเชื่อว่าผู้หญิงหลายๆคนก็อาจจะเคยเจอมาบ้าง เพียงแต่จะขุดมาเล่าให้คนอื่นฟังไหมก็เท่านั้นเอง

 จากนั้นเราก็ย้ายมาทำงานในกรุงเทพเพราะไปเจอผู้ชายคนนึงเค้ามาเที่ยวรีสอ ทแถวบ้านแล้วเค้าพูดว่า "มาอยู่กรุงเทพซิ จะหางานทำให้" แล้วเค้าบอกว่า "คล่องแคล่วแบบเรา หางานทำไม่น่ายากหรอก" พอเค้ากลับไปเราก็มานั่งคิดนะ ชีวิตต่างจังหวัดสำหรับเรามันใช่หรือเปล่า เราไม่เคยเห็นภาพตัวเองทำงานมีลูกใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเลย เราก็ลองแอบไปแย็บๆถามย่าเพราะย่าเลี้ยงเรามา แต่ย่าเอง เค้าไม่ได้สนใจเรามากอยู่แล้ว(เราไม่ใช่หลานรัก) เค้ารักน้องสาวเรามากกว่า แกบอกว่า "ไปพ้นๆก็ดีจะได้ไม่ต้องเสียเงินให้เรา" ทั้งๆที่แกก็ไม่ได้ส่งเราเรียนหนังสือสมัย ปวช.อยู่แล้ว เรารับจ้างทำบัญชี เป็นเสมียนในปั๊มน้ำมันแถวบ้านแล้วเก็บเงินส่งตัวเองจนเรียนจบ จุดที่เราจะเข้ากรุงเทพเริ่มใกล้ความจริง เลยตัดสินใจเข้ากรุงเทพมาอยู่กับผู้ชายคนนี้ ที่ตอนหลังเป็นแฟนคนไทยคนสุดท้ายของเรา ส่วนแฟนที่อยู่ต่างจังหวัดก็เริ่มห่างไปเรื่อยๆ จนเราก็เลิกกันในที่สุด

 แฟนคนไทยคนที่สองก็คล้ายๆคนแรก คบไปกันไปเรื่อยๆเขาก็มีเรื่องทะเลาะกับที่ทำงานและลาออกมาอยู่บ้านเฉยๆ เราก็หวังดีอยากให้แฟนมีอะไรทำ เลยคุยกันว่าเราจะไปกู้เงินมาลงทุนเปิดร้านมินิมาร์ทเล็กๆให้เขาดูแล แต่ทำไปได้สัก 6-7 เดือนสุดท้ายก็ไปไม่รอดเพราะเขาไม่ได้ใส่ใจ ก็กลายเป็นขาดทุน แต่ละเดือนๆรายได้ที่หามาก็ต้องไปลงกับหนี้ รวมถึงต้องเลี้ยงตัวเค้าอีกท้องหนึ่งด้วย จนสุดท้ายก็ปิดร้าน เขาก็ไปหางานทำใหม่ และก็ปล่อยให้เราจัดการกับหนี้ส่วนหนี้ไปโดยลำพัง จนสุดท้ายเราก็รู้สึกว่าแบบมันไม่ใช่ เขาไม่น่าจะเป็นคู่ชีวิต เราแอบหมดศรัทธาในตัวเค้า คือรู้สึกว่าทำไมเขาไม่สู้ ไม่พยายามคิดหรือทำอะไร เพื่ออนาคต ซึ่งตอนนั้นก็คิดไปแบบเด็กๆ จะถูกผิดไม่แน่ใจ เพราะเคยมีแฟนมาแค่ 2 คนเท่านั้น

 โชคชะตาพามาให้ได้ ต้องพานายจากประเทศอิตาลี ซึ่งมาประเทศไทยอยู่เรื่อยๆ หัวหน้าเราสั่งให้ไปดูแลเพราะเขาเพิ่งย้ายมาดูแลงานที่เมืองไทย นายให้ไปรับและเราพอพูดภาษาอังกฤษได้ เราเป็นคนตลกเหมือนผู้หญิงอ้วนดำคนหนึ่งที่เน้นฮา จะขึ้นเขาลงห้วยไปได้หมดและกินเก่งมาก อิตาลี่ส่งอะไรให้เรากินหมด อิตาลีก็ขำ เราคิดว่าเค้าเป็นหัวหน้าช่างตำแหน่งใหญ่ๆ แต่ตอนเรามารู้ตอนหลังว่าเค้าคือหุ้นส่วนหลักของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่มีสาขาอยู่ 7 ประเทศทั่วโลก ทุกครั้งที่เค้ามาเมืองไทย เราก็จะถูกส่งไปรับ และแน่นอนว่าในที่สุดเราก็คบกับอิตาลี่คนนี้


 แล้วโลกอันสวยงามก็เปลี่ยนฉากชีวิตจากพนักงานบริษัทธรรมดาคนนึงเงินเดือน 13,000 สมัยก่อนนั่งรถเมล์ไปทำงาน ห้างก็ไม่ค่อยไปโรงหนังก็ไม่เคยดูกับชาวบ้าน บ้านนอกเข้ากรุงมามุ่งทำงานและตั้งหน้าใช้หนี้กับแฟนเก่าที่ทำไว้ คิดแค่นั้น ได้กลายเปลี่ยนเป็นเค้าพาเราไปกินอาหารดีๆ พาไปเดทที่ร้านสวยๆที่เราไม่มีปัญญาไปแน่ๆ มีชีวิตแบบคุณนายฝรั่ง แฟนกลับอิตาลีส่งเงินมาให้เดือนละ 5 หมื่น เสาร์อาทิตย์เราก็ไปซื้อของที่ห้าง ชอบอะไรก็กล้าซื้อเพราะมีเงิน สุขสำราญ สำลักความสุขและความรัก โลกเป็นสีชมพูมาก เราฝันว่าจะมีงานแต่งงานน่ารักๆ

 แฟนคนนี้เป็นคนที่เปิดโลกให้เรามากเขาทำให้เรากล้าเผชิญโลก กล้าเดินออกไปไหนมาไหนโดยเค้าเป็นความมั่นใจในส่วนที่เราไม่เคยมี เวลาคุยงาน คุยกับเพื่อนฝรั่ง เขาสอนเราให้มีมุมมองต่างๆในการทำธุรกิจ ตอนนั้นบอกตรงๆว่าอ้ำรู้สึกชื่นชมแฟนฝรั่งมากว่านี่ละเราตัดสินใจไม่ผิดเลย จริงๆ คบกันไปเรื่อยๆ

 จนกระทั่งวันนึงเขาบอกว่าลาพักร้อนกลับไปต่างประเทศ จะกลับไปนานหน่อย เพราะต้องไปดูแลแม่ที่ป่วยด้วย เราก็เข้าใจ จากอาทิตย์ เป็นเดือน สุดท้ายผ่านไปเป็นปี เราก็พยายามถาม เค้าก็บอกว่ายุ่งบ้าง ต้องไปดูแลงานอีกที่บ้าน จนกระทั่งมารู้ภายหลังจากเพื่อนของเขาว่าจริงๆแล้วเขากับครอบครัวยังไม่ได้ หย่าอะไรกัน ที่ผ่านมาเราโง่เอง ช่วงนั้นก็เป๋ไปบ้าง แต่ก็พยายามทำใจและคิดถึงสิ่งดีๆที่เขาให้เรา เช่น มุมมองความคิด มันเป็นอะไรหลายๆอย่างที่มีค่ามากที่ติดตัวเรามาจนทุกวันนี้

 พอเลิกรากับฝรั่งคนนั้นก็ไปก็เข้าสู่แฟนฝรั่งคนที่สอง และเป็นคนท้ายสุดของชีวิต เป็นคนที่ให้บทเรียนกับเรามากที่สุด และเป็นคนที่ทำให้เราพบกับสัจธรรมชีวิต ฝรั่งคนนี้เข้ามาคุยๆจีบๆเรา เพราะเพื่อนแนะนำให้รู้จักกัน เขาเป็นเพื่อนของเพื่อนในกลุ่ม (ตอนมีแฟนฝรั่งคนแรก อ้ำก็เลยได้มีกลุ่มเพื่อนที่เป็นฝรั่งหลายคน) จนในที่สุดเราก็ได้คบกัน

 ตอนนั้นอ้ำหนักประมาณ 55 กิโล ประกอบกับที่เป็นคนตาโต และผิวคล้ำ ก็เป็นสเปคฝรั่งเลย ชีวิตในช่วงแรกก็มีความสุขมาก เราก็เลยตกลงทำธุรกิจด้วยกัน และคิดว่าคนนี้แหละ คือคนสุดท้ายของชีวิต คือคนที่เราจะฝากอนาคตไว้ด้วย เราเข้ากันได้ทุกอย่าง ตั้งแต่นิสัย อาหารการกิน มุมมองต่างๆ จนไปถึงเรื่อง....^_^

 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่อ้ำมีความสุขมาก สุขจนเรารู้สึกว่าเราไม่ต้องห่วงสวย หรือมองใครเผื่อเลือกอีกแล้ว เพราะคนนี้คือคนสุดท้ายของเรา และเขารักเราด้วยใจจริง ตอนนั้นอ้ำก็คิดอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตในแต่ละวันของเราเต็มไป ด้วยความสุข รวมถึงวางแผนเพื่อสร้างครอบครัวกัน นอกจากการเรื่องงานที่เราทำร่วมกันแล้ว(และรายได้ก็โอเค) สิ่งที่น่าจะมาเติมเต็มให้เขาได้คือชีวิตในบ้าน

 อ้ำทำหน้าที่แม่บ้านไม่ขาดตกบกพร่องตามแบบฉบับของหญิงไทยตั้งแต่ปัดกวาด เช็ดถู จนไปถึงเรื่องอาหารการกิน และเมื่อทำอาหารกิน แน่นอนที่สุดเราก็กลายเป็นคนกินเยอะไปตามธรรมดา ประกอบกับเราไม่ได้ห่วงสวยงามอีกแล้ว ตอนนั้นก็ยอมรับเลยว่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปไกลมาก และไม่ใช่แค่เราที่อ้วนขึ้นแฟนเราก็อ้วนขึ้น

 และสิ่งที่สังเกตได้เลยคือ ชีวิตคู่เราในเรื่องนั้นก็ค่อยๆจางลงไป ตอนแรกเราก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าคนเราคบกันมาถึงจุดหนึ่งเรื่องแบบนี้ มันก็ลดความหวือหวาไปได้เป็นธรรมดาแต่ถัดมาสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มากขึ้นเรื่อยๆ คือเขาเริ่มเหมือนเบื่อๆเรา ไม่มีโมเม้นต์ความหวานเหมือนช่วงแรกๆ ไม่กอด ไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้ ทำอะไรก็ไม่ค่อยถูกใจมากขึ้น บรรยากาศแบบนี้มันเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และช่วงหลังๆเริ่มทะเลาะกันบ่อยๆ

 จนในที่สุดเขาบอกเราว่าลองแยกกันอยู่เถอะเพราะบางครั้งการที่เราเป็นทั้ง เพื่อนร่วมงาน เป็นทั้งแฟนกัน มันทำให้เราแยกบทบาทกันไม่ถูก และมันอาจจะกระทบเรื่องงานด้วย ตอนนั้นเราไม่เข้าใจ เสียใจ พยายามยั้งเขาไว้ทุกทาง จนวันนึงเขาก็ออกจากบ้านไป โดยที่ยังทิ้งของไว้ ช่วงนั้นเพื่อนเขาก็บอกเราว่าเขามีคุยๆกับผู้หญิงคนอื่นอยู่นะ เราก็พยายามคิดในแง่ดีว่าก็ฝรั่งอะนะ เขาอาจจะมีกันบ้าง เรื่องรักกับเซ็กส์ไม่ได้มาด้วยกัน และคิดไปถึงขั้นว่าเราขาดตกบกพร่องอะไร ดูแลเค้าไม่ดีรึเปล่า จะเรียกว่าโง่หรือหลงสามีฝรั่งก็ได้นะ แต่ตอนนั้นเราคิดอย่างงั้นจริงๆ

 จากนั้นเราก็พยายามดึงเขากลับมา ซื้อของให้เอาใจเขา พยายามหวานใส่เขา ชวนเขามากินข้าวที่บ้าน ทำทุกอย่างที่เรียกว่าอ้อนวอนขอให้เขากลับมา เราทำอยู่อย่างนั้นเป็นเดือนๆ แต่ยิ่งทำเขาก็ยิ่งห่าง ถึงเลิกงานปุ๊บเขาก็กลับ เจอหน้าคุยแค่งาน แล้วไม่มีคุยอะไรกัน ถึงวันนึงเราก็พยายามอยากจะเคลียร์ว่าสุดท้ายจะเป็นยังไง เพราะตอนแยกกันอยู่ เราก็ไม่ได้พูดเรื่องเลิกกัน ตอนนั้นก็โง่คิดว่ายังมีหวังอยู่บ้าง

 แต่สิ่งที่เราได้ยินกลับมาคือ....“ไอไม่ได้รักยูแล้ว อย่าพยายามเลย มันไม่ช่วยอะไร” “ทำไมยูไม่กลับไปส่องกระจกดูสารรูปของตัวเองบ้าง ว่ายูเปลี่ยนไปแค่ไหน” “จะให้ไออยู่ด้วยได้ยังไง ไอไม่มีอารมณ์ด้วยหรอก”

 ผู้ชายได้ยินอะไรแบบนี้คงจะรู้สึกเฉยๆนะ แต่อ้ำว่าผู้หญิงเราเวลาเจอะเจอคำพูดตอกหน้าแบบนี้มันทิ่มแทงมาก โดยเฉพาะจากคนที่รักกัน ตอนนั้นก็เสียใจ ทำใจไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยดูสารรูปตัวเองจริงๆอย่างที่เค้าว่า เพราะเราคิดว่าคนที่รักกันจริงๆถึงขั้นจะสร้างครอบครัวกัน มันน่าจะก้าวข้าวเรื่องแบบนี้ไปได้แล้ว ช่วงนั้นก็เมามายฟูมฟายไปเรื่อยๆ เพื่อนก็พยายามปลอบแล้วปลอบอีก แต่สิ่งนึงที่เลิกทำไปแล้วคือการไปตามต่อไอ้ฝรั่งคนนั้น เพราะเรารู้สึกว่าเขาทำร้ายจิตใจเรามาก และคงไม่มีประโยชน์


 แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกนะว่าที่เขาพูดมันจริง เพราะเราก็ยังหลงอยู่กับความคิดว่า “รูปร่างหน้าตาเป็นแค่เปลือก คนเรารักกันที่ใจ” และต้องมีใครสักคนที่รักเราจริงๆอย่างที่เราเป็น จนกระทั่งได้ไปรู้จักคุณหมอคนนึง เขาเป็นเจ้าของคลินิคศัลยกรรมนี่ละ ซึ่งเขาเป็นเพื่อนกับเพื่อนซี้อ้ำที่ทำบริษัทด้วยกัน เวลาเพื่อนอ้ำเลิกงาน หรือว่างตอนไหน ก็จะชอบไปนั่งเม้าท์มอยกับหมอเขาบ่อยๆ เราก็ตามไปด้วยเพราะตอนนั้นไม่มีใคร ต้องอาศัยอยู่กับเพื่อนๆจะได้ไม่เศร้า ไม่ต้องฟูมฟาย

 อ้ำก็ไปนั่งคุยเรื่อยเปื่อยกับหมอเค้าบ่อยๆ เพื่อนอ้ำมันก็อยากจะทำนั้นทำนี่ของมันไปเรื่อยๆ แต่อ้ำไม่คิดจะทำ เพราะเราเชื่อว่าธรรมชาติน่าจะดีที่สุด แต่เหตุผลจริงๆคือกลัว กลัวมากๆด้วย จนเขาเห็นเราแอนตี้ศัลยกรรมมากๆ ไม่รู้เขาคงรำคาญรึเปล่า จนวันนึงเขาก็บอกว่า “อ้ำ เดี๋ยวหมอจะให้ดูอะไรนะ” แล้วเขาก็เปิดรูปให้ดู เป็นรูปหมอสมัยก่อน ซึ่งหมอไม่ใช่คนสวยเลย แล้วหมอก็เล่าชีวิตของหมอให้ฟังว่าหมอเองเป็นคนที่เคยถูกมองจากคนอื่นๆว่า ไม่สวย จนวันนึงก็ลุกขึ้นมาปรับปรุงตัวเองให้ดูดีขึ้น จากนั้นชีวิตก็เปลี่ยนไป ได้รับสิ่งดีๆ โอกาสดีๆ เข้ามามากมาย สิ่งนึงที่เขาบอกอ้ำและจำได้ขึ้นใจเลยก็คือว่า

 “แม้ว่าเราจะเชื่อว่าความสวยงามของตัวเรานั้นอยู่ข้างในแต่คนในสังคมจำนวน มาก ก็มักติดสินเราที่รูปลักษณ์ภายนอกเสมอๆ และเมื่อเรารู้ว่าสังคมก็เป็นเช่นนี้ ถ้าเราไม่คิดจะดูแลตัวเราเองซะเลย มันก็เท่ากับเรากำลังปิดโอกาสตัวเราเองรึเปล่า? หมอไม่ได้หมายถึงต้องทำศัลยกรรมนะ บางคนก็สวยขึ้นได้โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม แค่ปรับเปลี่ยนตัวเองในเรื่องการแต่งกาย แต่งหน้า หรือแม้แต่บุคคลิภาพ ก็สวยได้ ความงามไม่ใช่เรื่องของการเอาแต่รักสวยรักงาม แต่หมายถึงการดูแลรูปลักษณ์ หมอว่ามันเป็นการให้เกียรติกับตัวเราเองนะ”

 กลับไปบ้านวันนั้น อั้มก็ไปนั่งส่องกระจก และนึกถึงคำพูดของหมอ และที่สำคัญสุดคือของแฟนฝรั่งที่ไล่ให้เราไปดูสารรูปตัวเอง เชื่อมั๊ยว่าวันนั้นอ้ำร้องออกมาเลย อ้ำเห็นผู้หญิงที่ไม่มีความสวยเอาซะเลย ทั้งรูปร่างอ้วนท้วน ทั้งแต่งตัวขี้ริ้วขี้เหร่ หน้าตากระเซอะกระเซิง ผิวหยาบกร้าน อ้ำคิดในใจขึ้นมาเลยว่าที่ผ่านมาการที่เราปล่อยปละละเลยตัวเราแบบนี้ ชีวิตเราต้องเสียโอกาสในชีวิตไปมากมาย ไม่ใช่แค่เรื่องความรัก แต่แม้แต่เรื่องงาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้เราจะเป็นเจ้าของบริษัท เป็นหุ้นส่วนหลัก แต่เราก็ทำได้แค่เบื้องหลังเพราะรูปลักษณ์เราไม่ดี จะติดต่องานคุยงาน ก็ต้องให้อีกคนทำ เพราะไม่มั่นใจ กลัวคนไม่เชื่อถือ เข้าสังคมกลุ่มเพื่อนด้วยความที่เราไม่มั่นใจ เราก็ใช้ความเป็นคนตลกเป็นตัวนำ เป็นตัวโจ๊กให้คนอื่นขำและยอมรับตัวตนเรา อ้ำรู้สึกว่าที่ผ่านมาอ้ำทำร้ายและโกงตัวเองมากๆ

 นับแต่วันนั้นมา อ้ำเริ่มใหม่เลยทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารการกิน หันกลับมาใส่ใจดูแลตัวเองมากขึ้น การแต่งกายอ้ำก็คิดว่าจะต้องทำยังไงให้ดูดี ไม่ใช่ว่าอ้วนหรือไม่สวยแล้วจะแต่งยังไงก็ได้ (เสื้อผ้าสำหรับคนตัวใหญ่ที่ใส่แล้วดูดีก็มีเยอะนะคะ) มากกว่านั้นคือทัศนะเรื่องความงามก็เปลี่ยนไป อ้ำเรียนรู้การแต่งหน้า บำรุงผิว ทุกอย่างใหม่หมด  ดูจากในเวบต่างๆ เพราะอย่างที่เคยบอกว่าโตมาในค่ายทหาร เรื่องพวกนี้แทบไม่เรียนรู้เลย อ้ำก็เรียนรู้ขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงเรื่องศัลยกรรม ทุกวันนี้ก็ยังกลัวๆบ้าง แต่ก็มีเสริมจมูกและฉีดโบท็อกซ์ (คงไม่ทำมากกว่านี้แล้ว) ซึ่งก็ทำให้ดูดีและมั่นใจมากขึ้น และรูปข้างล่างนี้ ก็คือผลของการหันกลับมาปรับปรุงตัวเองของอ้ำ

ถามว่าดูดีขึ้นมากมั๊ยก็อาจจะไม่มาก เพราะรูปหน้าอ้ำไม่ใช่คนสวย ผิวพรรณก็เป็นคนคล้ำ และโครงร่างอ้ำก็ไม่ใช่คนผอมหุ่นนางแบบ แต่สิ่งที่อ้ำได้เลยอย่างนึงก็คือความมั่นใจ และปฏิกริยาต่างๆที่เปลี่ยนไปจากคนรอบข้าง ลูกค้าที่เคยต้องรอคุยงานกับเพื่อนอ้ำ ก็คุยกับอ้ำ เขาเคยหลุดพูดว่า “ไม่ต้องรอคุยกับ...ก็ได้ เพราะตอนนี้คุณอ้ำสวยแล้ว” (หารู้ไม่ว่าคำพูดนี้ทำเอาเราจึ๊กหน้าชาไปเหมือนกัน) ทุกวันนี้ทำงานเองได้หมด มั่นใจ และรู้สึกว่าก่อนที่จะรักใครมากๆนั้น เราก็ควรรักตัวเองให้มากๆเสียก่อน

 ส่วนในเรื่องความรัก หึหึ เหมือนเรื่องตลกเลย จากนั้นไม่นานหลังจากอ้ำปรับปรุงตัวเองใหม่ แฟนคนที่สองที่บอกเลิกไป ก็กลับมาขอคืนดี ซื้อของขวัญมาให้ในวันเกิด ในเทศกาลต่างๆ พยายามจะง้อขอโอกาสอีกหลายครั้ง เคยถึงขั้นที่จะยอมเลิกกับอีกคนที่เขาไปคบหลังจากที่เลิกรากับเราไป เพื่อให้เรายกโทษให้เขา เขามาพร่ำพรรณาว่าสำนึกที่เคยทำไม่ดีอะไรกับเราไว้บ้าง แต่เสียใจด้วย เราไม่ได้ปรับปรุงตัวเองครั้งนี้เพื่อเขา เราทำเพื่อตัวเรา และเราก็พบว่าเรามีความสุขกับการที่ได้รักตัวเราเอง เขาเป็นคนที่อ้ำเคยรัก แต่วันนึงเขาก็เลือกที่จะไป พร้อมกับคำพูด และการกระทำหลายๆอย่างที่ทำให้รู้ว่าเขาหมดรักกับเราไปแล้ว ฉะนั้นเมื่อหมดแล้วก็หมดกัน โอกาสไม่ได้มาหลายๆครั้งในชีวิตของคนๆหนึ่ง ดูเหมือนร้ายนะ แต่ไม่ใช่การเอาคืน คือหมดแล้วเลยจริงๆ

 เล่ามาซะยาว สุดท้ายก็แค่อยากจะบอกว่า ชีวิตและร่างกายคือเพื่อนแท้ของเรา เพราะต้องอยู่คู่กับเราไปตลอด แม้ละครจะมีคำคมบอกว่า “ให้วัดกันที่ใจ อย่าดูที่รูปลักษณ์ภายนอก” แต่ความเป็นจริงของโลก หลายๆคนก็ดูกันที่ภายนอกจริงๆ การดูแลรูปร่างให้สวยงาม ไม่ใช่แค่เรื่องความรัก แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ ไม่ว่าจะในเรื่องงาน หรือการเข้าสังคมต่างๆ เชื่อสิคะของแบบนี้มันมีผลจริงๆ อ้ำอยากเป็นกำลังใจหลายคนที่คิดว่าตัวไม่สวย ไม่ว่าจะด้วยรูปลักษณ์ หน้าตา หรือ ผิวพรรณ อ้ำเชื่อว่าเราปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้ ลองดูอย่างอ้ำก็ได้ อ้ำใช้เวลาเปลี่ยนแปลงประมาณปีกว่าๆ จากคนขี้ริ้วขี้เหร่ ตอนนี้แม้จะไม่ได้สวยอะไรมาก แต่ก็มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ อ้ำเชื่อว่าทุกคนทำได้ อยู่ที่ว่าจะเริ่มได้หรือยัง...

 ท้ายสุดขอขอบคุณคนสามคนที่มีส่วนช่วยในการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งนี้

 คนแรกคือเพื่อนอิ๊ก ที่เป็นทั้งหุ้นส่วนธุรกิจ และยังเป็นครูสาวแสนสวยแห่งโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนร่วมงาน เพื่อนซี้ ที่นอกจากจะช่วยรับฟังปัญหาแล้ว ก็ยังช่วยเราฟันฝ่าอุปสรรค และอยู่ข้างเราเสมอ

 คนที่สองคือ พี่หมอโอ๋ พญ.ณัฏฐาภณิตา รพีพงษ์พัฒนา แห่งณัฏฐาคลินิก ซึ่งอ้ำรักเหมือนพี่สาวแท้ๆคนหนึ่งเลย พี่หมอเป็นคนที่ช่วยให้แนวคิดดีๆ เรื่องความงามของผู้หญิง ขอบคุณที่ให้ดูรูปและเล่าเรื่องราวชีวิตในวันนั้น รวมถึงเป็นแรงบรรดาลใจดีๆให้กับอ้ำเสมอมา

 และคนสุดท้ายคือ สตีเฟ่น แฟนฝรั่งคนนั้นที่ทิ้งกันไป แม้สิ่งที่ยูทำไว้จะย่ำแย่มากๆ ไม่ว่าจะทำพูด หรือการกระทำในช่วงที่จะเลิกกัน แต่เพราะการกระทำและคำพูดแย่ๆที่ทำร้ายจิตใจนั่นละ ก็กลายเป็นส่วนสำคัญมากๆที่ทำให้อ้ำได้ realize ว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต และตลอดมาอ้ำละเลยอะไรไป

ทีมา : http://www.khaosod.co.th/,http://pantip.com/topic/33296842

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Popular